วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คำสมาส

คำสมาส
การสมาสคำ
          เป็นการสร้างคำขึ้นเพื่อเพิ่มคำใหม่ประเภทหนึ่ง  เพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการสื่อสาร  โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป มารวมเป็นคำเดียวกัน  คำที่นำมารวมกันนี้เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาบาลีสันสกฤต เรียกว่า คำสมาสคำสมาสจะเป็นคำที่มีความหมายใหม่ คำที่มีความหมายหลักมักจะอยู่ข้างหลัง  คำที่ช่วยขยายความหมายจะอยู่ข้างหน้า  ดังนั้นการแปลคำสมาสจึงมักจะแปลจากท้ายมาหาคำหน้า เช่น
          มหา (ยิ่งใหญ่)  +  ชาติ (การเกิด)   เท่ากับ   มหาชาติ  หมายถึง          การเกิดครั้งยิ่งใหญ่
          วีร (กล้าหาญ)   +  บุรุษ (ชาย)       เท่ากับ   วีรบุรุษ    หมายถึง  ชายผู้กล้าหาญ
          อุทก (น้ำ)        +  ภัย (อันตราย)    เท่ากับ   อุทกภัย   หมายถึง ภัยอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วม
          คำสมาส (อ่านว่า สะ หมาด) คือ การนำคำภาษาบาลีและ/หรือสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมารวมกันเป็นคำเดียว มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน โดยคำหลักมักอยู่ข้างหลัง คำขยายมักอยู่ข้างหน้า เช่น ราชธานี  คำว่า  ธานี  ซึ่งแปลว่าเมืองจะอยู่ท้ายคำ
การสร้างคำสมาส
          คำสมาสในภาษาไทยมีวิธีการสร้างคำ ดังนี้
                   ๑.  นำคำภาษาบาลีและสันสกฤตมาต่อกัน  อาจเป็นคำภาษาบาลีต่อกับภาษาบาลี หรือคำภาษาสันสกฤตต่อกับภาษาสันสกฤต หรือคำภาษาบาลีต่อกับภาษาสันสกฤตก็ได้  เมื่อแปลคำสมาสจะแปลจากคำหลังไปหาคำหน้า
ตัวอย่าง
ถาวร (มั่นคง, ยั่งยืน) + วัตถุ (สิ่งของ) (บาลี + บาลี) = ถาวรวัตถุ
     อ่านว่า           ถา วอน วัด ถุ
     หมายถึง         สิ่งของที่ก่อสร้างที่มั่นคง ยั่งยืน เช่น โบสถ์ วิหาร
ฌาปน (การเผาศพ) + กิจ (ธุระ, งาน) (บาลี + บาลี) = ฌาปนกิจ
     อ่านว่า           ชา ปะ นะ กิด
     หมายถึง         งานเกี่ยวกับการเผาศพ
ราช (พระเจ้าแผ่นดิน) + ฐาน (ที่อยู่) (บาลี + บาลี) = ราชฐาน
     อ่านว่า           ราด ชะ ถาน
     หมายถึง         ที่อยู่ของพระเจ้าแผ่นดิน
เกษตร (ที่ดิน, ไร่,นา) + กรรม (การกระทำ) (สันสกฤต + สันสกฤต) = เกษตรกรรม
     อ่านว่า กะ เสด ตระ กำ
     หมายถึง         การใช้ที่ดินเพาะปลูก
ไตร (สาม) + ลักษณ์ (ลักษณะ) (สันสกฤต + สันสกฤต) = ไตรลักษณ์
     อ่านว่า           ไตร ลัก
     หมายถึง         ลักษณะ ๓ ประการ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความมิใช่ตัวตน
คณิต (การคำนวณ) + ศาสตร์ (ระบบวิชาความรู้) (สันสกฤต + สันสกฤต) =
     คณิตศาสตร์
     อ่านว่า           คะ นิด ตะ สาด
     หมายถึง         วิชาว่าด้วยการคำนวณ
หัตถ (มือ) + กรรม (การกระทำ) (บาลี + สันสกฤต) = หัตถกรรม
     อ่านว่า           หัด ถะ กำ
     หมายถึง         งานช่างที่ทำด้วยมือ
            ข้อสังเกต
            การสร้างคำวิธีนี้เป็นการนำคำมาเรียงต่อกัน และในการอ่านมักอ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำที่มาต่อกัน  แต่มีบางคำไม่อ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำ หรือบางคำจะอ่านออกเสียงพยางค์เชื่อมระหว่างคำหรือไม่ก็ได้ เช่น
          เกียรติคุณ       อ่านว่า           เกียด ติ คุน
                                 หมายถึง        คุณที่เลื่องลือ
          มาตุภูมิ           อ่านว่า           มา ตุ พูม
                                 หมายถึง        บ้านเกิดเมืองนอน
          เกียรตินิยม      อ่านว่า          เกียด นิ ยม
                                 หมายถึง        ความรู้ดีเด่นเหนือระดับปกติ
          จิตพิสัย           อ่านว่า          จิดพิไส
                                 หมายถึง        ที่มีอยู่ในจิต
          มูลนิธิ             อ่านว่า           มูน นิ ทิ หรือ มูน ละ นิ ทิ
                                 หมายถึง        ทรัพย์สินที่จัดไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
          ศิลปกรรม       อ่านว่า           สิน ปะ กำ หรือ สิน ละ ปะ กำ
                                หมายถึง         สิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นศิลปะ                             
          ๒.  นำคำภาษาบาลีสันสกฤตมาเชื่อมกันเป็นคำเดียวกันอีกแบบหนึ่ง        บางครั้งเรียกว่าสมาสมีสนธิหมายถึง  การนำคำบาลีสันสกฤต ๒ คำ มาเชื่อมต่อเสียง ให้เสียงกลมกลืนกับพยางค์ต้นของคำหลัง มักเป็น อะ อา อิ อี หรือ อุ อู ไปเชื่อมกับพยางค์ท้ายของคำต้น  คำที่นำมาเชื่อมกันนี้อาจเป็นคำภาษาบาลีต่อกับคำภาษาบาลี หรือคำภาษาสันสกฤตต่อกับคำภาษาสันสกฤต หรือคำภาษาบาลีต่อกับคำภาษาสันสกฤตก็ได้ และเมื่อแปลความหมายจะแปลจากคำหลังไปหาคำหน้า เช่น
            ตัวอย่าง
            ภัตต (อาหาร) + อาคาร (เรือน) (บาลี + บาลี) = ภัตตาคาร
                   หมายถึง  อาคารที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
          เลขา (การเขียน) + อนุการ (การทำตาม) (บาลีสันสกฤต + บาลีสันสกฤต) = เลขานุการ
                   หมายถึง  ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ
          ศิระ (หัว, ยอด) + อาภรณ์ (เครื่องประดับ) (สันสกฤต + บาลี) = ศิราภรณ์
                   หมายถึง  อาภรณ์ประดับศีรษะ เช่น มงกุฎ
          ปรม (อย่างยิ่ง) + อณู (เล็ก, ละเอียด) (บาลี + บาลี) = ปรมาณู
                   หมายถึง  ส่วนของสารที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถแยกย่อย
          สุข (ความสบายกาย, สบายใจ) + อารมณ์ (ความรู้สึกทางใจ) (บาลี + บาลี) = สุขารมณ์
                   หมายถึง  อารมณ์ที่มีสุข
          ราชา (พระเจ้าแผ่นดิน) + อุปโภค (เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์) (สันสกฤต + สันสกฤต)
                   = ราชูปโภค     หมายถึง         ของใช้สำหรับพระราชา
            ข้อสังเกต
          มีคำในภาษาไทยหลายคำที่มีการประกอบคำคล้ายคำสมาส คือ นำศัพท์มาเรียงต่อกันและสามารถอ่านออกเสียง อะอิ อุ เชื่อมระหว่างคำที่มาต่อกัน แต่ไม่ใช่คำสมาส  เพราะไม่ใช่คำรวมของคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต และมีภาษาอื่นปน เช่น
          คุณ + ค่า        (บาลี + ไทย)                 อ่านว่า   คุนนะ ค่า, คุนค่า
          ชีว + เคมี        (สันสกฤต + อังกฤษ)    อ่านว่า   ชี วะ เคมี
          เทพ + เจ้า       (บาลี + ไทย)                อ่านว่า   เทบพะ เจ้า
          ทุน + ทรัพย์     (ไทย + สันสกฤต)        อ่านว่า   ทุน นะ ซับ
          เมรุ + มาศ      (บาลี + เขมร)                อ่านว่า   เม รุ มาด
          บรรจุ + ภัณฑ์   (เขมร + บาลีสันสกฤต) อ่านว่า บัน จุ พัน
          พล + เรือน      (บาลี + ไทย)                อ่านว่า   พน ละ เรือน
ลักษณะของคำสมาส
          ๑.  คำที่สมาสกันต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น อาจจะเป็นบาลีสมาสกับบาลี เช่น ทิพโสต ขัตติยมานะ สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต เช่น อักษรศาสตร์ บุรุษโทษ บาลีสมาสกับสันสกฤต เช่น วิทยาเขต วัฒนธรรม
          ๒.  คำสมาสไม่ต้องประวิสรรชนีย์หรือมีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่อักษรสุดท้ายของคำหน้า เช่น ศิลปกรรม ธุรการ สัมฤทธิ์บัตร วารดิถี
          ๓.  คำที่นำมาสมาสกันแล้ว ความหมายหลักอยู่ที่คำหลัง ส่วนความรองจะอยู่ข้างหน้า เช่น ยุทธ (รบ) + ภูมิ (แผ่นดิน / สนาม) = ยุทธภูมิ (สนามรบ)
          ๔.  คำที่รวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแปลงรูปคำแต่อย่างใด เช่น วัฒน + ธรรม = วัฒนธรรม / โลก + บาล = โลกบาล
          ๕.  คำสมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเนื่องกัน เช่น ภูมิศาสตร์ อ่านว่า พู มิ สาด / เกตุมาลา อ่านว่า เก ตุ มา ลา
หลักการสังเกตคำสมาส
            ๑.  คำที่สมาสกันต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น เช่น ทิพโสต ขัตติยมานะ กิจการ(บาลีสมาสกับบาลี) อักษรศาสตร์ บุรุษโทษ (สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต)  วิทยาเขต วัฒนธรรม (บาลีสมาสกับสันสกฤต)
            ๒.  คำสมาสมีลักษณะคล้ายการนำคำสองคำมาวางเรียงต่อกัน  เวลาอ่านจะมีเสียงสระต่อเนื่องกัน
            ๓.  ไม่มีการประวิสรรชนีย์ (  )และ ไม่ใส่เครื่องหมายทัณฑฆาต เช่น  มนุษยสัมพันธ์ พลศึกษา
            ๔.  การเรียงคำ คำหลักจะอยู่ข้างหลัง ดังนั้นการแปลจึงแปลความหมายจากหลังมาหน้า
            ๕.  คำ พระประกอบหน้าคำบาลี สันสกฤต จัดเป็นคำสมาส
            ๖.  คำที่ลงท้ายด้วยคำว่า ศาสตร์  กรรม  ภาพ  ภัย  ศึกษา  มักเป็นคำสมาส
หมายเหตุ : ยกเว้นคำสมาสบางคำที่วางคำตั้งหรือคำหลักเป็นคำหน้าและวางคำขยายเป็นคำหลังจึงสามารถแปลความหมายจากหน้าไปหลังได้ เช่น บุตรธิดา หมายถึง ลูกและภรรยา  สมณพราหมณ์ หมายถึง พระสงฆ์และพราหมณ์   ทาสกรรมกร หมายถึง ทาสและกรรมกรฯลฯ
แนวคิด 
          คำไหนมี หรือ ตัวการันต์ ระหว่างคำ คำนั้นไม่ใช่คำสมาส เช่น กิจจะลักษณะ วิพากษ์วิจารณ์ พิมพ์ดีด
ตัวอย่างคำสมาส

ธุรกิจ
กิจกรรม
กรรมกร
ขัณฑสีมา
คหกรรม
เอกภพ
กาฬทวีป
สุนทรพจน์
จีรกาล
บุปผชาติ
ประถมศึกษา
ราชทัณฑ์
มหาราช
ฉันทลักษณ์
พุทธธรรม
วรรณคดี
อิทธิพล
มาฆบูชา
มัจจุราช
วิทยฐานะ
วรรณกรรม
สัมมาอาชีพ
หัตถศึกษา
ยุทธวิธี
วาตภัย
อุตสาหกรรม
สังฆราช
รัตติกาล
วสันตฤดู
สุขภาพ
อธิการบดี
ดาราศาสตร์
พุพภิกขภัย
สุคนธรส
วิสาขบูชา
บุตรทาน
สมณพราหมณ์
สังฆเภท
อินทรธนู
ฤทธิเดช
แพทย์ศาสตร์
ปัญญาชน
วัตถุธรรม
มหานิกาย
มนุษยสัมพันธ์
วิทยาธร
วัฏสงสาร
สารัตถศึกษา
พัสดุภัณฑ์
เวชกรรม
เวทมนตร์
มรรคนายก
อัคคีภัย
อุดมคติ
เอกชน
ทวิบาท
ไตรทวาร
ศิลปกรรม
ภูมิศาสตร์
รัฐศาสตร์
กาฬพักตร์
ราชโอรส
ราชอุบาย
บุตรทารก
ทาสกรรมกร
พระหัตถ์
พระชงฆ์
พระพุทธ
พระปฤษฏางค์
วิทยาศาสตร์
กายภาพ
กายกรรม
อุทกภัย
วรพงศ์
เกษตรกรรม
ครุศาสตร์
ชีววิทยา
มหกรรม
อัฏฐางคิกมรรค
มหาภัย
อุบัติเหตุ
กรรมกร
สันติภาพ
มหานคร
จตุปัจจัย
ที่มา http://krujujee09.wordpress.com/


            



วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันรพี


วันรพี

วันรพี สำหรับผู้ที่มีความสนใจทางด้านกฎหมาย จะต้องรู้จักเป็นอย่างดี กับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งได้ถูกยกย่องเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย วันนี้จึงมีสาระดีๆ และประวัติของพระองค์ท่านมาฝากกัน
ประสูติ
พระองค์ท่านมีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองคืเจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประสูติเมื่อวันที่ 21ตุลาคม 2417
การศึกษา
พระองค์ทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ และเลือกวิชาเอกคือวิชากฎหมาย โดยเนื่องจากช่วงนั้น เมืองไทยมีศาลกงสุลจากชาติตะวันตกค่อนข้างมาก ซึ่งพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าจะเป็นการดี ที่จะศึกษาถึงกฎหมายต่างๆ อีกทั้งทรงพยนายามขอยกเลิกอำนาจศาลกงสุลต่างๆ ที่มาพิจารณาคดีของชนชาติตนเอง เพื่อให้ประเทศไทยมีเอกราชทางด้านการศาลอย่างแท้จริง
พระองค์ได้เจ้าศึกษาวิชากฎหมายที่วิทยาลัยไครส์เชิร์ช มหาวิทยาลัยออฟซ์ฟอร์ด ซึ่งในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 17 พรรษา ซึ่งทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ต้องมีพระชนมายุไม่ต่ำกว่า 18 พรรษา จึงจะสามารถเข้ารับการศึกษาได้ แต่พระองค์ทรงขอความกรุณา อีกทั้งยังดำรัสว่า “คนไทยเกิดง่าย ตายเร็ว” ทางมหาวิทยาลัยจึงยอมผ่อนผันให้รับการศึกษาต่อไปได้
และด้วยพระองค์ทรงพระวิริยะอุตสาหะเอาพระทัยทางด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ทรงได้รับปริญญาบัตรเกียรตินิยมทางกฎหมาย Bachelor of Arts.Hons เมื่อพระชนมายุเพียง 20 พรรษา โดยใช้เวลาเพียง 3 ปี
วันรพี
งานราชการและ พระกรณียกิจ
  • ในปี 2437 พระองค์ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก เพื่อสอนความรู้เบื้องต้นสำหรับข้าราชการพลเรือนในกระทรวงต่างๆ และทรงรับสมัครข้าราชการทางฝ่ายตุลาการ ทรงฝึกหัดทางด้านกฎหมายอย่างจริงจังจนต่อมาไม่นาน พระองค์สามารถตั้งกรมราชเลขานุการได้ทุกตำแหน่ง อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดแต่งตั้งพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นองคมนตรีในปีเดียวกัน
  • ในปี 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักด์เป็นสภานายกพิเศษจัดการตั้งศาลในมณฑลอยุธยา
  • ในปี 2441 พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกาในคณะกรรมการ ชื่อว่า “ศาลกรรมการฎีกา” ทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดของประเทส แต่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม และต่อมาคือศาลฎีกาในปัจจุบัน
  • ในปี 2442 ได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัตรเป็น “กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์”
  • ในปี 2453 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล่าฯ ให้เป็นองคมนตรี
  • ในปี 2455 ทรงพระกรณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ และในปีเดียวกัน ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวง มีพระนามจารึกในสุพรรณบัฏว่า “พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์คชนาม”
  • ในปีะ 2462 พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงประชวรด้วยพระวัณโรค ที่พระวักกะ (ไต) และทรงเสด็จไปรับการรักษาที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั้งวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2463 พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็สิ้นพระชนม์ รวมพระชนมายุ 47 พรรษา
พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
ด้วยคุณาณุปการอันล้นพ้นดังกล่าวข้างต้น เนติบัณฑิตยสภาจึงได้ถวายการยกย่องพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย เมื่อปี 2497 ทั้งเริ่มต้นเรียก วันที่ 7 สิงหาคมของทุกปี เป็น วันรพี เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ พร้อมทั้งมีการจัดงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเป็นประจำทุกปี

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรากฏการณ์เรือนกระจก


        ปรากฏการณ์เรือนกระจก
          "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (greenhouse effect)  คือ  ปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
เนื่องจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ์ในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรดที่สะท้อนกลับถูกดูดกลืนโดย
โมเลกุลของ ไอน้ำ  คาร์บอนไดออกไซด์ C2O มีเทน (CH4) และ CFCsไนตรัสออกไซด์ (N2O)
ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเหล่านี้มีพลังงานสูงขึ้นมีการถ่ายเทพลังงานซึ่งกันและกันทำให้
อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นการถ่ายเทพลังงานและความยาวคลื่นของโมเลกุลเหล่านี้
ต่อๆกันไป ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเกิดการสั่นการเคลื่อนไหว ตลอดเวลาและมาชน
ถูกผิวหนังของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน    
        
        ก๊าซชนิดใดบ้างที่มีบทบาทในการทำให้เกิดปรากฏการณ์ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
-  ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ย มูลสัตว์ที่ย่อยสลาย การสันดาปน้ำมันเชื้อเพลิงจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในขบวนการผลิต เช่นอุตสาหกรรมเคมี  อุตสาหกรรมพลาสติก
บางชนิดอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยไนลอน 

             - คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon- CFCs) เป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม
ประกอบด้วย คาร์บอน (C) คลอรีน (Cl) และฟลูออรีน (F) ซึ่งเป็นสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนเป็นสาเหตุ
ุทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น รังสีเหนือม่วงชนิด B หรือ Ultraviolet B ส่งมายังผิวโลกมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ใน
อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โฟม กระป๋องสเปรย์ สารดับเพลิง 
สารชะล้าง ในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคส์

              ในปัจจุบันมีการตระหนักถึงความสำคัญของชั้นโอโซนมากขึ้นและพบว่าสาเหตุหลักของปัญหา
ชั้นโอโซนถูกทำลายนั้นมาจากสารกลุ่ม CFCsเป็นหลัก นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับสารเคมีในกลุ่มฮาโลคาร์บอน
ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคลอรีน ฟลูออรีน โบรมีน คาร์บอน และไฮโดรเจน จากการสำรวจโอโซนที่บริเวณ
ขั้วโลกใต้ ในปี พ.ศ. 2528 พบหลุมโอโซนที่ขั้วโลกใต้ (antartic ozone hole)  ซึ่งการถูกทำลายนี้จะเกี่ยวข้อง กับสารคลอรีนเสมอ  ทำให้ประเทศในกลุ่มซีกโลกตะวันตกและองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
มีมาตรการดำเนินการเพื่อป้องกันและมีข้อกำหนดต่างๆขึ้น 
        
          ปัญหาที่เกิดกับโอโซนจากสารทำลายชั้นโอโซน (CFC) มี 2 ประเด็น คือ

             1. สามารถฟื้นฟูโอโซนที่เสียไปได้หรือไม่

             2. หาแนวทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดในอนาคตได้หรือไม่ 

     เนื่องจากโอโซนเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นได้ง่าย จึงไม่เสถียรพอที่จะสร้างขึ้นและส่งกลับเข้าสู่บรรยากาศ 
การฟื้นฟูจึงทำได้เพียงการมีมาตรการและวิธีการที่สนับสนุนด้านการลดการใช้สารทำลายชั้นโอโซนที่เกิดจาก
สาร CFCs ซึ่งก็คือ  การมีข้อกำหนดในพิธีสารมอนทรีออล

            ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก 

1. ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 0.8 องศาเซลเซียสต่อระยะ 10 ปี ทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลง แต่ทะเลทรายเพิ่มขึ้น 
2. ฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในเขตเมืองหนาว ฤดูหนาวจะสั้นลง ฝนตกมากขึ้น ฤดูร้อนจะยาวมากขึ้น อากาศจะร้อนและแห้งแล้ง ส่วนเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน บริเวณที่แห้งแล้งจะแห้งแล้งมากขึ้น ดินเสื่อมคุณภาพมากขึ้น บริเวณที่ชุ่มชื้นจะมีฝนมากขึ้น พายุรุนแรงและเกิดอุทกภัยบ่อยขึ้น 
3. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น ปริมาณของน้ำทะเล ประกอบกับน้ำจากขั้วโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นสาเหตุของการพังทลายบริเวณชายฝั่ง ระบบชลประทาน และการระบายน้ำได้รับความเสียหาย เกิดการรุกล้ำของน้ำเค็มในผิวดิน แม่น้ำ พื้นที่ไร่นา ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเพาะปลูก และอุตสาหกรรมชายทะเล นอกจากนี้ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจทำให้บริเวณหาดทรายหรือเกาะต่าง ๆ จมหายไปใต้น้ำ เกิดภาวะน้ำท่วม ปัญหามลพิษทางน้ำ 
4. ผลผลิตทางการเกษตรลดลงหรือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะสภาพดินฟ้า อากาศ และพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย ความเหมาะสมลดลง มีการระบาดของแมลงศัตรูพืชมากขึ้น เกิดความเสียหายทางการเกษตร อาหารจะขาดแคลน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม 
5. สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ถูกทำลายไปจากโลก เป็นผลจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น จะเกิดความแห้งแล้ง ดินเค็ม น้ำท่วม ทำให้แหล่งกำเนิดและถิ่นที่อยู่อาศัยของพืช สัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ถูกทำลายลงทุกที และบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากโลก 
6. เนื่องจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยจะทำให้เป็นมะเร็งที่ผิวหนังมากขึ้น

ที่มา
http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ecology/chapter2/chapter2_airpollution13.htm

http://worldbangday.blogspot.com/2009/10/blog-post_26.html