วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ลาวาแลม

การทดลองลาวาแลม

  อุปกรณ์มีดังต่อไปนี้
     1.ขวดแก้ว
     2.สีผสมอาหาร
     3.นํ้ามัน
     4.นํ้าเปล่า
     5.ยาเม็ดฟู่


     ขั้นตอนการทดลอง
     1.เทนํ้าใส่ลงในขวดประมาณ 1นิ้ว
     2.เทนํ้ามันใส่ลงในขวดประมาณเกือบเต็มขวด
     3.ใส่สีผสมอาหารลงไปในขวด
     4.รอให้สีผสมอาหารตกลงไปอยู่ก้นขวด
     5.ใส่ยาเม็ดฟู่ลงไป
     6.สังเกตผลการทดลอง


                  เพราะอะไรกันนะ  เอ๋!!!
     เป็นเพราะยาเม็ดฟู่ที่เกิดการละลายนําแล้วทำให้เกิดแกซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เราเห็นเป็นฟองอากาศที่ทำให้นํ้าผสมกีบสีผสมอาหารจากด้านล่างก้นขวดลอยตัวเป็นหยดสีขึ้นไปด้านบนจนเมื่อลอยไปถึงผิวด้านบนสุดฟองอากาศก็จะแตกออกหยดนํ้าสีก็จะตกลงข้างล่าง ด้วยความหนาแน่นที่มากกว่านํ้ามันเราจึงเห็นว่าของเหลวสีสวยในขวดมีการเคลื่อนที่ไปมาจนกระทั่งหมดปฏิกิริยาของยาเม็ดฟู่นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กาหยู

กาหยู เคี้ยวเพลิน ได้ประโยชน์
กาหยู หรือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ (Cashew nut) เป็นพืชตระกูลเดียวกับมะม่วง ผลคล้ายรูปไต เปลือกแข็ง มีเมล็ดอยู่ภายใน คั่วแล้วกินได้ ยางเป็นพิษ ก้านผลอวบน้ำ ลักษณะคล้ายผลชมพู่ คนมักเข้าใจว่าก้านผลนี้คือ ผล ส่วนผลรูปคล้ายรูปไตคือ เม็ด มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบลาซิล และมีการนำมาปลูกในประเทศไทย ปลูกมากในจังหวัดระนอง และทางใต้ของประเทศ ส่วนใหญ่มักนำเมล็ดมารับประทานกันอย่างแพร่หลาย และจริงๆ แล้ว ชาวบ้านแถบนั้นยังบริโภค ทั้งใบอ่อน และผลของมะม่วงหิมพานต์กันอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์นี้มีมากมาย นั่นเพราะเม็ดมะม่วงหิมพานต์ประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน (กรดไขมันอิ่มตัว) วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี ครบทั้งห้าหมู่แบบนี้ เม็ดมะม่วงหิมพานต์จึงเป็นอาหารขบเคี้ยวอีกหนึ่งชนิดที่ควรหยิบหามาทานกันบ้าง มาดูประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์กันดีกว่าค่ะ
ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์
1. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ดี ทั้งลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
2.เม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
3.เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สามารถช่วยรักษารูปร่างให้สมส่วนได้ เพราะมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยลดการดูดซึมไขมันได้การรับประทานถั่วเป็นประจำจะช่วยทำให้อิ่มนานขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลงอีกด้วย (ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม)
4.เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นผลไม้ที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นผลไม้ที่มีสารพิวรีนน้อยหรือไม่มีเลย
5.เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ นิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง และยังเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกของประเทศอินเดีย เวียดนาม และบราซิลอีกด้วย (90% ของการส่งออกทั่วโลกมาจากสามประเทศนี้)
6.ผลของมะม่วงหิมพานต์มีเนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว สามารถรับประทานเป็นผลไม้สดได้ทั้งผลดิบและผลสุก
7.ผลห่ามมะม่วงหิมพานต์ ทางภาคใต้ของไทยนิยมนำใช้ทำแกงส้ม หรือใช้ยำ
8.มะม่วงหิมพานต์ ประโยชน์ผลดิบใช้รับประทานร่วมกับเกลือเป็นของกินเล่นได้
9.ผลสุกสามารถนำไปหมักทำไวน์ ทำน้ำส้มสายชู หรือเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ได้
10.เมล็ด สามารถนำไปแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้ เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่ว อบเนย อบน้ำผึ้ง เป็นต้น และสามารถนำไปประกอบอาหารได้ เมนูเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แหนมผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เต้าหู้ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขนมจีนผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
11.ใบอ่อน ยอดอ่อน สามารถใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก หรือ แกงเผ็ด ลาบ ก้อย ขนมจีนน้ำยาได้
12.ใบแก่สามารถนำมาขยี้และใช้สีฟันได้
13.ประโยชน์ของเปลือกเมล็ดสกัดเป็นน้ำมัน ในด้านการแพทย์สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเหน็บชา วัณโรค โรคเท้าช้าง โรคเลือดคั่ง โรคเรื้อน โรคผิวหนัง หูด ตาปลา และส้นเท้าแตกได้
14.ประโยชน์ของเปลือกเมล็ด ก็สามารถใช้ประโยชน์ในด้านความงามได้ เช่น ใช้ลอกหน้าที่เกิดจากการตกกระ (แต่อาจส่งผลเสียได้) เป็นต้น
15.ผลสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย เช่น แยม ผลไม้กวน เครื่องดื่ม น้ำมะม่วงหิมพานต์ ไวน์ น้ำส้มสายชู เป็นต้น
16.ผลของมะม่วงหิมพานต์มีกลิ่นต่างๆ ถึง 20 กลิ่น จึงสามารถนำมาสกัดทำเป็นหัวน้ำหอมได้
คำแนะนำในการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์
เนื่องจากเม็ดมะม่วงมะม่วงหิมพานต์ จะมีน้ำมันมากและให้พลังงานสูง ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป หรือครั้งหนึ่งไม่เกิน 10 เม็ด (ยิ่งนำไปอบหรือทอดเนยก็จะมีพลังงานมากขึ้นไปอีก)
ใช่ว่าถั่วลิสงจะเป็นถั่วที่มีสารอะฟลาท็อกซินอย่างเดียว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ก็อาจมีปนเปื้อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรเลือกบริโภคเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ที่สะอาด ปิดมิดชิด ไม่เก็บไว้นาน มีเลขทะเบียนอย. ที่ถูกต้อง หรือผ่านการผลิตด้วยระบบ GMP/HACCP
สำหรับบางรายที่รับประทานเม็ดมะม่วงพิมพานต์แล้วเกิดอาการแพ้ โดยมีอาการดังนี้ เช่น มีอาการบวมที่ใบหน้าและคอ มีผดผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียนหรือท้องเสีย คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน
อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิดนะคะ อะไรที่มากเกินความพอดี ย่อมนำมาซึ่งสิ่งไม่พึงประสงค์ เช่น น้ำหนักตัว และโรคร้ายต่างๆ

แมงมุมแม่ม่ายดำและแมงมุมสีน้ำตาล

แมงมุมแม่ม่ายดำ
แมงมุมแม่ม่ายดำ
แมงมุมแม่ม่ายดำ (Black widow spider) อยู่ใน Family Theridiidae พบกระจายทั่วโลก species ที่สำคัญคือ Latrodectus mactans (hourglass spider, shoe-button spider, Pokomoo), Latrodectus varinolus, Latrodectus besperus, Latrodectus geometricus พบในเม็กซิโกตอนเหนือ ฟลอริดา แคลิฟอเนียร์และโอเรกอน ลักษณะตัวดำเป็นมัน ตัวเมียขนาดประมาณ 30-40 มิลลิเมตร ตัวผู้ขนาด 16-20 มิลลิเมตร มีลวดลายคล้ายรูปนาฬิกาทรายสีแดงส้มอยู่ด้านใต้ส่วนท้อง อาศัยอยู่ในบ้าน ในที่มืดอับ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า ผสมพันธุ์กันในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ตัวผู้อาจถูกตัวเมียกินหรือจากไปผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวอื่น แมงมุมตัวเมียวางไข่ได้ครั้งละ 200-750 ฟอง โดยสร้างเส้นใยที่แข็งแรงห่อหุ้มไข่ไว้ ไข่ใช้เวลาฟักนาน 2-4 สัปดาห์ ตัวอ่อนที่ออกจากไข่จะถูกลมพัดไปอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ตัวอ่อนที่เป็นตัวผู้จะลอกคราบ 4-7 ครั้ง ส่วนตัวอ่อนที่เป็นตัวเมียจะลอกคราบ 7-9 ครั้ง ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและอาหาร ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 3 ปี ในแต่ละปีสามารถผลิตลูกได้ประมาณ 2,000 ตัว
       
       พิษของแมงมุมชนิดนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (neurotoxin) โดยเฉพาะระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผิวหนังตาย หรือมีเลือดตามอวัยวะภายในต่างๆ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ มีการอักเสบกดรู้สึกเจ็บได้ มีเหงื่อออก ขนลุก ความดันโลหิตสูง รอยกัดเขียวช้ำ มีจุดแดง อาการที่เฉพาะของพิษคือ อ่อนแรง สั่น ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็ง ท้องแข็ง เป็นอัมพาต ซึมและชักในรายที่แพ้พิษรุนแรง
แมงมุม
แมงมุมสีน้ำตาล (Brown recluse) อยู่ใน Family Loxoscelidae พบในสหรัฐอเมริกา มีหลายชนิด ได้แก่ Lexosceles reclusa, Lexosceles deserta, Lexosceles rufescens, Lexosceles arizonica, Lexosceles devia ขนาด 6-20 มิลิเมตร มีสีเหลืองน้ำตาล มีตาเดี่ยว 6 ตาเรียงกันเป็นรูปครึ่งวงกลม และมีลวดลายคล้ายไวโอลีนอยู่ระหว่างตาเดี่ยวกับด้านหน้าของส่วนท้อง แมงมุมสีน้ำตาลออกหากินเวลากลางคืน อยู่ตามบ้านเรือน ในห้องน้ำ ห้องนอน มักซ่อนตัวอยู่ในกองเสื้อผ้าและกัดคนที่สวมใส่เสื้อผ้าในตอนเช้า นอกบ้านพบได้ตามก้อนหิน ทราย จะต่อสู้เมื่อมีศัตรูบุกรุกที่อยู่ของมัน
       
       พิษของแมงมุมชนิดนี้มีทั้ง necrotic และ hemolytic แต่ไม่มีพิษต่อระบบประสาท พิษเหล่านี้จะทำปฏิกริยาที่เยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์ตาย เมื่อถูกกัดมักจะไม่มีอาการในระยะแรก แต่หลังจากนั้น 3-8 ชั่วโมงจะเริ่มมีรู้สึกเจ็บ บวมแดง มีการอักเสบ เป็นผื่น แผลเริ่มมีสีดำไหม้ เป็นหนอง ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2.5 เซนติเมตร ขอบแผลยกขึ้น ใช้เวลาประมาณหลายเดือนแผลจึงหายสนิท ในบางรายที่พิษเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะขัด โลหิตจาง เป็นไข้ ตัวเขียว และอาจเสียชีวิต
ทารันทูลา
ทารันทูลา (Turantula) แมงมุมชนิดนี้จัดอยู่ใน Family Theraphosidae มีประมาณ 30 ชนิด พบในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ มีขนาดใหญ่ ขนยาวรุงรัง ขนาดประมาณ 18-20 เซนติเมตร มี chelicerae ขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากส่วนหัว เคลื่อนที่ขึ้นลง แมงมุมชนิดนี้หลบซ่อนตัวอยู่ในรูใต้ก้อนหิน ในช่วงกลางวันจะเคลื่อนตัวช้า ออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืนบริเวณไม่ไกลจากรูที่อยู่ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะออกจากรูไปหาตัวเมีย ฤดูหนาวจะจำศีลอยู่ในรู หลังจากตัวอ่อนออกจากไข่ใช้เวลานาน 10-12 ปีจึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย ตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี ในขณะที่ตัวเมียมีอายุ 15-20 ปี พิษของแมงมุมชนิดนี้ไม่รุนแรง ไม่มีอาการเจ็บ ไม่มีการอักเสบ พิษเป็นอันตรายต่อแมลงและสัตว์ชนิดอื่นเท่านั้น
      
       พิษประกอบด้วยสารประเภท hyaluronidase บางคนอาจมีอาการแพ้รุนแรงจากขนที่อยู่ด้านบนของส่วนท้อง เมื่อสัมผัสจะมีอาการคันผิวหนัง เป็นตุ่มนานหลายสัปดาห์ ถ้าขนเข้าไปในตาอาจเกิดอาการคล้าย opthalmia nodosa ได้ การรักษาอาการพิษของแมงมุมทำได้โดยทำการล้างแผลให้สะอาด ไม่ขยับแขนขาที่ถูกกัด พันด้วยผ้าพันแผลเพื่อลดการกระจายของพิษ ประคบบริเวณแผลด้วยน้ำแข็ง อาจระงับการปวดด้วยยาแก้ปวดหรือให้ meperidine (Demerol) หรือ morphine ถ้าแสดงอาการรุนแรงใช้ยาต้านพิษ (Lyovac) ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ให้ Dexamethasone 4 มิลลิกรัม ทางหลอดเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมงเพื่อลดปฎิกริยาของร่างกาย หรือฉีด 10% Calcium Gluconate 10 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมงเพื่อแก้ไขภาวะกล้ามเนื้อเกร็ง ในกรณีที่มีเนื้อตายควรทำการตัดบริเวณที่ตายนั้นทิ้งไป อาจให้ Dapsone 100 มิลลิกรัม รับประทานเช้าเย็น แต่ควรระวังการให้ยานี้แก่ผู้ป่วย G-6 PD deficiency ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก และอาจให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน

สะตอ

สะตอ
“สะตอ” อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น
       
       ส่วนประโยชน์ของสะตอนั้นก็เรียกได้ว่ามีมากมาย ทั้งช่วยบำรุงสายตา ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยในการขับปัสสาวะ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
       
       อีกทั้งยังช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา นอกจากนี้แล้วหลายคนยังเชื่อว่าการกินสะตอเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วย
       
       นี่ก็คือคุณประโยชน์ของสะตอ ผักพื้นบ้านเมล็ดเล็กๆ แต่สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งเป็นผักแกล้มจิ้มน้ำพริก หรือจะเป็นเมนูยอดฮิตอย่างสะตอผัดกะปิกุ้งก็อร่อย แถมยังแฝงไปด้วยสรรพคุณมากมาย 



ที่มา http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/general_knowledge/19672

วันพืชมงคล

วันพืชมงคลพระราชพิธิพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีกรรม 2 พิธีที่กระทำร่วมกัน คือ
1. พิธีพืชมงคล
2. พิธีแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคลแรกนาขวัญพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงพระราชพิธีแรกนาขวัญไว้ดังนี้

การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมโบราณ เช่น ในเมืองจีนเมื่อสี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงไถนาเองเป็นคราวแรก ส่วนจดหมาย ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่ปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอ ด้วยการนี้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญจะได้เลี้ยงชีวิตทั่วหน้า


วันพืชมงคลพระราชพิธิพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีกรรม 2 พิธีที่กระทำร่วมกัน คือ
1. พิธีพืชมงคล
2. พิธีแรกนาขวัญ
พิธีพืชมงคลแรกนาขวัญ เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงาม
พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
การแรกนาขวัญในกรุงเทพนี้ มีเสมอมาตั้งแต่รัชกาลไม่ได้ยกเว้น แต่ถือเป็นตำแหน่งเจ้าพระยาพลเทพคู่กับยืนชิงช้า เจ้าพระยาพลเทพแรกนายืนชิงช้าผู้เดียว ไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อเจ้าพระยาเทพพลป่วย ก็โปรดให้พระยาประชาชีพแทนบ้าง
ในครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกือบตกเป็นธรรมเนียมว่าผู้ใดยืนชิงช้าผู้นั้นเป็นผู้แรกนาด้วย
ครั้นมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแรกนาที่ทุ่งส้มป่อยครั้งหนึ่ง ภายหลังโปรดให้มีการแรกนาที่กรุงเก่าและที่เพชรบุรี และทรงเพิ่มพิธีสงฆ์นอกเหนือจากเมื่อก่อน มีเฉพาะพิธี เมื่อทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ในพระราชพิธีต่าง ๆ จึงได้เพิ่มในจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้ด้วย แต่ยกเป็นพิธีหนึ่งตากหากเรียกว่าพืชมงคล พราหมณ์ และทรงสร้างหอพระเป็นที่ไว้พระคันธารราษฏร ์ เมื่อโปรดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลขึ้น จึงได้มีนางเทพีสี่คน จัดเจ้าจอมเถ้าแก่ที่มีทุนรอนพาหนะพอจะแต่งตัวและที่เครื่องใช้ไม้สอย ติดตามไปหาบกระเช้าข้าวโปรย เมื่อวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล ก็ให้ฟังสวดพร้อมด้วยพระยาแรกนาและให้มีการราชบัณฑิตเชิญพระเต้าเทวบิฐ ซึ่งเป็นพระเจ้าเกิดในสมัยรัชกาลนั้นประพรมที่แผ่นดินนำหน้าพระยาที่แรกนา
พระราชพิธีนี้ ในเวลาบ่ายวันที่จะสวดมนต์ก็มีกระบวนการแห่พระพุทธรูป ออกไปจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชพิธีจรดพระนังคัล เริ่มแต่บ่ายวันสวดมนต์พระราชพิธีพืชมงคล มีกระบวนแห่พระเทวรูปพระอิศวร 1 พระอุมาภควดี 1 พระนารายณ์ 1 พระมหาวิฆเนศวร 1 พระพลเทพแบกไถ 1 กระบวนแห่ มีธง มีคู่แห่เครื่องสุงกลองชนะ คล้ายกันกับที่แห่พระพุทธรูป เป็นแต่ลดหย่อนลงมาบ้าง ออกจากพระบรมมหาราชวังไปทางบก เข้าโรงพิธีทุ่งสัมป่อยหน้าหลวง เวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีทำการพระราชพิธีเหมือนอย่างพิธีทั้งปวง วันรุ่งขึ้นเวลาตั้งแต่เช้า กระบวนแห่ต่าง ๆ พระยาผู้แรกนา กำหนดเกณฑ์คนเข้ากระบวนแห่ 500 กระบวน เมื่อถึงโรงพระราชพิธีเข้าจุดเทียนบูชาพระพุทธรูป แล้วตั้งจิตอธิษฐานจับผ้า 3 ผืน เมื่อจับได้ผ้าผืนใดก็นุ่งผ้าผืนนั้น นุ่งอย่างบ่าวขุนออกไปแรกนา มีราชบัญฑิตคนหนึ่ง เชิญเต้าเทวบิฐประน้ำพระพุทธมนต์ไปหน้า พราหมณ์เชิญพระพลเทพคนหนึ่งเป่าสังฆ์ 2 คน พระยาจับยามไถ พระมหาราชครูพิธียืนประตักด้านหุ้มแดงไถดะ ไปโดนรี 3 รอบ แล้วไถแปรโดยกว้าง 3 รอบ นางเทพีทั้งสี่จึงหาบกระเช้าข้าวปลูก กระเช้าทอง 2 คน กระเช้าเงิน 2 คน ออกไปให้พระยาโปรยหว่านข้าว และไถกลบอีกสามรอบ หลังจากนั้นปลดพระโคออกกินเลี้ยงของเสี่ยงทาย 7 สิ่ง คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว งา เหล้า น้ำ หญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนาย
ความสำคัญของวันพืชมงคลการเกษตรกรรมนับว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์อย่างมาก เพราะธัญญาหารที่บรรดาเหล่าเกษตรกรปลูกได้ในแต่ละปี ถูกนำมาใช้เป็นอาหาร ดัดแปลงเป็นอุปโภคต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
วันพืชมงคล เป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อเกี่ยวกับการเพาะปลูก เนื่องจากเห็นความสำคัญของการเมล็ดพืชพันธุ์อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อวิถีการผลิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติ นอกเหนือจาการมีแผนดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำฝนที่มีปริมาณเพียงพอ และปัจจัยอื่น ๆ แล้ว หากได้เมล็ดพืชพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรร รวมทั้งเกษตรกรมีขวัญกำลังใจ มีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพาะปลูก ทางราชการหรือผู้ปกครองตนให้การดูแลเอาใจใส่ การเกษตรของประเทศจะพัฒนามากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกปีทางราชการจึงจัดให้มีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้น โดยกำหนดในเดือนพฤษภาคม ของทุกปี
พิธีกรรมในปัจจุบัน
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาขวัญก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทูตานุฑูต และประชาชนจำนวนมากมาชมการแรกนาขวัญ
เมื่อเสร็จพิธี ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าว นำไปผสมกับพันธุ์ข้าวที่ปลูกหรือเก็บไว้เป็นถุงเงินเพื่อความเป็นสิริมงคล
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรกระทำในวันพืชมงคล
1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ
2. จัดนิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพืชมงคลรวมทั้งพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
หมายเหตุ วันพืชมงคลในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน
ที่มา http://campus.sanook.com/

โรค ALS


ALS หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis
ALS หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทเกี่ยวกับควบคุมการเคลื่อนไหวตายไปก่อนอายุขัย อาการของคนไข้ คือ มีอาการกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง แขน ขา ลิ้น คอ...
แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า โรค ALS หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาท เกี่ยวกับควบคุมการเคลื่อนไหวตายไปก่อนอายุขัย อาการของคนไข้ คือ มีอาการกล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง แขน ขา ลิ้น คอ แต่สติสัมปชัญญะจะดี สมองไม่เสื่อม แต่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการไม่มีแรง เช่น เมื่อมีอาการที่ขา ขาจะลีบ เป็นที่มือ มีอาการมือลีบ เป็นที่ปากจะมีลิ้นลีบ พูดไม่ชัด กลืนอาหารลำบาก สำลักได้ หากเป็นมากรุนแรงคือ เป็นทั้งตัว ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กินอาหารเองไม่ได้ ต้องใส่สายให้อาหารหรือทางจมูก เจาะหน้าท้องให้อาหาร ซึ่งโรคนี้พบได้ทั่วไป ในทุกช่วงวัย ทุกเพศ

ประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติของผู้ป่วยโรคนี้อย่างชัดเจน แต่ยังพบผู้ป่วยไม่มาก ในส่วนของสถาบันประสาทฯ จะมีผู้ป่วยกลุ่มนี้อยู่ 50-100 ราย

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน เป็นโรคเรื้อรัง จะมานอนโรงพยาบาลเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อน ติดเชื้อ หรืออ่อนแรงมาก อาจเกิดแผลกดทับ หรือไปจนถึงรับประทานอาหารเองไม่ได้ ต้องใส่สายให้อาหาร เป็นการรักษาสภาวะแทรกซ้อน ส่วนในรายที่เป็นมากหายใจเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจก็มารักษาที่โรงพยาบาล

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้ จะเป็นการรักษาตามอาการ มียาบางอย่างที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ที่ ALS เกี่ยวข้อง คือ การกลืนที่คอ แต่ไม่ได้ทำให้หายขาด แต่ทำให้อาการบรรเทาขึ้นได้

ส่วนข้อความที่บอกว่า หากเป็นโรคนี้ให้นับถอยหลังรอวันเสียชีวิต ขอยืนยันว่าไม่จริง โรคนี้เป็นโรคที่ขึ้นอยู่กับคนไข้ บางรายเป็นไม่รุนแรง สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ แต่ในรายที่เป็นรุนแรงก็อาจลุกลามเร็ว แต่ละรายของคนไข้นั้นจะต้องประเมินในเรื่องของการดูแลตัวเอง ว่ามีการดูแลตัวเองดีแค่ไหน อย่างไร เช่น ในรายที่มีปัญหาการกลืน ถ้าดูแลให้ไม่มีการสำลัก สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ดูแลแผลตามส่วนต่างๆ ที่มีอาการลีบไปให้ดี ไม่มีแผลติดเชื้อ บางรายสามารถใช้ชีวิตกับโรคนี้ได้ ดำเนินชีวิตปกติได้ 10-20 ปี

คำแนะนำเบื้องต้นในการสังเกต หากสงสัยว่าจะเป็น ALS คือ สังเกตอาการ หากมีอาการแขนขาไม่มีแรง มีอาการลีบแต่จะไม่มีอาการชา แต่แขนขาจะลีบค่อนข้างเร็ว และสังเกตกล้ามเนื้อบริเวณที่ลีบ เนื้อจะเต้นเป็นพลิ้วให้สังเกตโรคนี้ได้ บ่งบอกเบื้องต้นว่าเป็นโรคในกลุ่มนี้ การวินิจฉัยต้องมีการตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้า ประสาทและกล้ามเนื้อ

ALS จะมีคนไข้กลุ่มหนึ่งที่รุนแรง บางครั้งคนไข้ไม่สามารถหายใจเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไปเรื่อยๆ บางครั้งกลุ่มนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่น เพียงแต่หายใจเองไม่ได้อย่างเดียว ถ้าสามารถมีเครื่องช่วยหายใจ และอุปกรณ์ประกอบและสามารถกลับไปอยู่ที่บ้านได้ ญาติดูแลได้สะดวก คนไข้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพียงมีเครื่องช่วยหายใจเล็กๆ ไปดูแลที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องมานอนโรงพยาบาลตลอด (ราคาเครื่องช่วยหายใจในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 200,000 /เครื่อง) เนื่องจากประเทศไทยคนไข้ในกลุ่มนี้ยังไม่เยอะ ไม่มีหน่วยงานตรงในการดูแล

ผู้สนใจสามารถร่วมสนับสนุน สถาบันประสาทวิทยา มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา เป็นตัวกลางในการดูแลผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับระบบประสาทที่ยากไร้ทั้งหมด บริจาคได้ที่เลขที่บัญชี 026-430-952-1 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลรามาธิบดี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-354-6118.