วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เสือโคร่งดำ เสือโคร่งขาว

เสือโคร่งดำ เสือโคร่งขาว


เสือโคร่งดำ เป็นเสือโคร่งที่มีสีดำ เป็นที่กล่าวถึงมาเป็นเวลาช้านาน แต่ยังเป็นที่ยืนยันแน่ชัดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามยังมีรายงานพบเห็นตัวอยู่นาน ๆ ครั้ง หลักฐานหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการพบหนังเสือโคร่งดำในขณะที่มีการจับกุมการค้าหนังสัตว์เถื่อนที่เดลฮีในปี 2535 หนังผืนนั้นมีสีดำสนิทที่บริเวณกระหม่อมและกลางหลัง และค่อย ๆ จางลงไล่ลงมาตามข้างลำตัวจนถึงสุดแถบ หนังผืนนั้นไม่ได้เกิดจากความปกติของเม็ดสีแบบเมลานิซึมอย่างที่พบในเสือดำหรือจากัวร์ดำหรือเสือชนิดอื่น ๆ ซึ่งดำปลอดทั้งตัว แต่เชื่อว่าเป็นลักษณะของยีนอากูตี ซึ่งทำให้แถบดำเชื่อมต่อกัน ตัวอย่างของเสือที่มีลักษณะแบบนี้เคยมีผู้ถ่ายภาพได้ในอุทยานแห่งชาติกันนาของอินเดีย
เสือโคร่งขาว หรือเสือเบงกอลขาว มีรูปร่างเหมือนเสือโคร่งปรกติ แต่มีขนพื้นสีขาวและลายสีน้ำตาลเข้ม ม่านตาสีฟ้า เป็นเสือโคร่งที่คุ้นตาผู้คนมาก สามารถพบได้ในสวนสัตว์เกือบทุกแห่งรวมทั้งสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ในเมืองไทย แต่อย่างไรก็ตามเสือโคร่งขาวได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติของอินเดียแล้ว ตัวสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นเป็นลูกเสือตัวผู้ที่ถูกจับได้มาจากรีวา ในตอนกลางของอินเดียโดยมหาราชาแห่งรีวาในปี พ.ศ. 2494 มีชื่อว่า โมฮัน เสือโคร่งขาวเกือบทั้งหมดที่อยู่ในสวนสัตว์และแหล่งเพาะเลี้ยงต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบันล้วนแต่เป็นลูกหลานของโมฮันทั้งสิ้น
เสือโคร่งขาวไม่ใช่เสือโคร่งเผือกแท้ แต่เป็นอาการผิดปรกติที่ผิวหนังมีจำนวนเม็ดสีน้อย เสือโคร่งขาวลำตัวมีพื้นสีขาวปลอดและมีลายพาดกลอนเป็นสีน้ำตาลและมีตาสีฟ้า ซึ่งเรียกว่า chinchilla mutation

ต้นกำเนิด

ในอดีตเคยมีเสือโคร่งอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากยังมีป่าไม้และทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ อันเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ที่เป็นอาหารของเสือโคร่ง อาณาเขตของมันพบได้ไกลถึงชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งแสดงถึงอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบันมาก ด้วยอุปนิสัยของเสือโคร่งที่เป็นสัตว์ขี้ร้อน ชอบอยู่กับน้ำและอาศัยอยู่ในป่าลึกที่เย็นชื้นในเวลากลางวัน ก็อาจทำให้สันนิษฐานได้ว่าเสือโคร่งมีต้นกำเนิดมาจากแดนที่หนาวเย็น
จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์โดยเฮมเมอร์ ในปี 2530 และ มาซัค ในปี 2526 สันนิษฐานว่าเสือโคร่งมีต้นกำเนิดจากเอเชียตะวันออก และเริ่มกระจายพันธุ์ออกไปเป็นสองเส้นทางหลัก ๆ เมื่อราวสองล้านปีก่อน ทางตะวันตกเฉียงเหนือเสือโคร่งค่อย ๆ ย้ายถิ่นไปตามลำน้ำและป่าไม้ลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ เสือโคร่งแพร่พันธุ์ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางส่วนไปหมู่เกาะอินโดนีเซีย และบางส่วนไปถึงอินเดีย แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเสือโคร่งพันธุ์จีนใต้เป็นลูกหลานโดยตรงมาจากบรรพบุรุษเสือโคร่ง ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่เดียวกันมาก่อน เสือโคร่งพันธุ์จีนใต้มีลักษณะของกะโหลกที่แตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเด่นชัด เช่นกะโหลกที่สั้น และเบ้าตาที่ชิดกันและชี้ตรงไปข้างหน้ามากกว่าพันธุ์อื่น
ถิ่นที่อยู่อาศัย
เขตกระจายพันธุ์ของเสือโคร่งในปัจจุบัน
เสือโคร่งอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่หลายประเภท ตั้งแต่ป่าดงดิบในเขตศูนย์สูตร ป่าผลัดใบในเอเชียใต้ ป่าสนและป่าโอ๊กในไซบีเรีย ป่าชายเลนในซุนดาบันส์ ป่าหญ้าแถบตีนเขาหิมาลัย เคยมีผู้พบเห็นรอยเสือโคร่งที่ระดับความสูงถึง 3,000 เมตรในเทือกเขาหิมาลัย ป่าอ้อ (ขณะหากินในป่าอ้อ บางครั้งเสือโคร่งอาจยืนขึ้นสองขาด้วยขาหลังแล้วกระโดดขึ้นเพื่อให้พ้นยอดอ้อ เพื่อดูสภาพโดยรอบ) นอกจากนี้ยังพบได้ในทุ่งหญ้าและบริเวณที่ลุ่มน้ำขัง โดยสรุปแล้วปัจจัยสำคัญสำหรับถิ่นที่อยู่ของเสือโคร่งไม่ใช่ชนิดของป่า ขอเพียงแต่ให้มีความรกทึบพอให้เป็นที่หลบภัยและซุ่มซ่อนได้ มีเหยื่อขนาดใหญ่ให้ล่า และมีแหล่งน้ำตลอดปี

เสือโคร่งต้องการเหยื่อที่เพียงพอ จึงต้องมีอาณาเขตที่กว้างขวางมาก อาณาเขตของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันตามสภาพของแหล่งที่อยู่ ความอุดมสมบูรณ์ของเหยื่อ แหล่งน้ำ และเพศ สถานที่อยู่สำหรับเสือโคร่งตัวเมียจำเป็นต้องมีสถานที่ ๆ สะดวกสำหรับการออกลูกและเลี้ยงลูก ในขณะที่ตัวผู้มีอาณาเขตกว้างกว่าของตัวเมีย และจะซ้อนเลื่อมกับอาณาเขตของตัวเมียตัวอื่น 2-3 ตัว ในอุทยานแห่งชาติจิตวันในเนปาลและอุทยานแห่งชาติกันนาของอินเดีย เสือโคร่งตัวเมียมีอาณาเขตกว้าง 10-39 ตารางกิโลเมตร ตัวผู้มีอาณาเขตกว้าง 30-105 ตารางกิโลเมตร ในขณะที่ทางตะวันออกสุดของรัสเซีย เป็นแหล่งที่มีจำนวนสัตว์เหยื่อกระจัดกระจายไม่สม่ำเสมอและมีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล อาณาเขตของเสือโคร่งพันธ์ไซบีเรียจึงกว้างถึง 100-400 ตารางกิโลเมตรสำหรับตัวเมีย และกว้างถึง 800-1,000 ตารางกิโลเมตรสำหรับตัวผู้

อุปนิสัย

มีผู้ประเมินความหนาแน่นของเสือโคร่งในเทือกเขาซิโฮเตอะลินในรัสเซียตะวันออกไว้ว่ามีเพียง 1.3-8.6 ต่อ 1,000 ตารางกิโลเมตร (รวมลูกเสือ) เท่านั้น ในขณะที่ในป่าเขตศูนย์สูตรมีความหนาแน่นของเสือโคร่งถึง 7-12 ตัวต่อ 100 ตารางกิโลเมตร (รวมลูกเสือ)
เสือโคร่งหากินในเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่และมักจะเป็นช่วงหัวค่ำและเช้ามืด แต่ก็อาจออกหากินในเวลากลางวันได้เป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในฤดูหนาวสำหรับเสือที่อาศัยอยู่ในเขตเหนือ เสือโคร่งมักใช้สายตาและการรับฟังช่วยในการล่ามากกว่าการรับกลิ่น อาหารส่วนใหญ่ของเสือโคร่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น กระทิง วัว กวาง เลียงผา แอนติโลป ควาย เก้ง และหมูป่า บางครั้งก็อาจล่าลูกช้างหรือลูกแรดได้ เสือโคร่งในอินเดียมักชอบล่าสัตว์ใหญ่มากกว่าสัตว์เล็ก เช่นในอุทยานแห่งชาติจิตวัน อาหารหลักของเสือโคร่งคือ กวางป่า รองลงมาคือกวางดาว ในนาการาโฮลพบว่าอาหารหลักคือกระทิงและกวางป่า ส่วนเสือโคร่งในเมืองไทยไม่ค่อยล่าสัตว์ใหญ่บ่อยนัก จากการสำรวจพบว่าอาหารหลักของเสือโคร่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งคือเก้ง กวางป่า หมูป่า และหมูหริ่ง ตามลำดับ
ในภาวะอาหารขาดแคลน เสือโคร่งก็อาจล่าสัตว์เล็กอย่างลิง นก ปลา หรือสัตว์เลื้อยคลาน บ้างเช่นกัน บางครั้งเสือโคร่งอาจฆ่าและกินเสือดาวหรือแม้แต่เสือโคร่งด้วยกันเอง รวมถึงสัตว์ล่าเหยื่อชนิดอื่นเช่นหมีควายด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น